เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

เคล็ดลับ วิธีเลือกโรงเรียนให้ลูก

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

การเลือกโรงเรียนให้ลูกเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนใส่ใจเป็นพิเศษ และในวันนี้ WeddingReview.net ก็ได้รวบรวมเคล็ดลับสิ่งที่ควรคำนึงในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน มาดูสิ่งที่ควรทราบในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูก พร้อมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกา อังกฤษ และ IB แต่ละหลักสูตรมีการเรียนการสอนแตกต่างกันอย่างไร, Grade กับ Year ต่างกันยังไง, เด็กนานาชาติใช้คะแนนอะไรยื่นเข้ามหาวิทยาลัย และอีกมากมายเรามีข้อมูลมาฝากค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง8 สิ่งที่ควรคำนึงในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก

โดยปกติ พ่อแม่มักจะอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ไปเรียนแล้วมีความสุข มีครูสอนที่มีคุณภาพ เด็กได้มีความคิดสร้างสรรค์ ฝึกสกิล Critical Thinking ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย ฝึกความรับผิดชอบ มีสังคมที่ดี ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับ และได้ฝึกสกิลที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานและในอนาคต รวมถึงด้านอื่น ๆการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะสมกับลูก จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยทำให้นักเรียนมีความสุขและประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ โดยวิธีเลือกโรงเรียนนานาชาติ ที่เรานำมาฝาก มีดังนี้ค่ะ

1. เช็กระบบ หลักสูตรการสอน

โรงเรียนนานาชาติ คือโรงเรียนที่มีระบบการเรียนการสอนตามหลักสูตรของต่างประเทศ เช่น โรงเรียนนานาชาติระบบอเมริกา, โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ และ ระบบ IB เป็นต้น ผู้ปกครองสามารถเช็กระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาติ ได้จากเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน หรือ เว็บไซต์ของสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (ISAT)โดยหากพูดถึงความแตกต่างของโรงเรียนนานาชาติแต่ละระบบ สิ่งที่ทำให้ระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาติ แตกต่างจากโรงเรียนไทยปกติ มีตัวอย่าง ดังนี้

โรงเรียน นานาชาติ เรียนอะไรบ้าง

โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ

โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ จะจัดการเรียนเป็น ‘Key Stage’ ซึ่งมีทั้งหมด 5 Key Stages เมื่อเรียนจบ Key Stage 4 (อายุประมาณ 16 ปี / เทียบเท่าเกรด Year 11) นักเรียนจะมีการสอบ IGCSE ซึ่งโดยปกติจะเรียนประมาณ 8-10 วิชา โดยจำเป็นต้องสอบวิชาภาษาอังกฤษและเลข (เด็กไทยต้องสอบภาษาไทยด้วย) และหากต้องการเรียนมัธยมปลายต่อ ก็จะเป็นระดับ ‘Key Stage 5’ หรือที่เรียกกันว่า ‘Sixth Form’ (สำหรับนักเรียนอายุ 16-19 ปี) ซึ่งเป็นคอร์สเรียนที่ใช้ระยะเวลา 2 ปี เรียกกันว่าเรียน ‘A-Level’ โดยจะเรียนเพียง 3-4 วิชาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่นักเรียนโรงเรียนระบบอังกฤษจะมีการเรียนและการสอบ IGCSE ในระดับ Key Stage 4 (อายุ 15-16 ปี) จึงทำให้ผู้ปกครองหลายท่านเลือกที่จะส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษตั้งแต่ช่วง Key Stage 3 (อายุ 12-14) หรือก่อนหน้านี้ เพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาปรับตัว และเตรียมตัวก่อนเข้าสู่เนื้อหา IGCSE ค่ะนอกจากนี้ โรงเรียนระบบสหราชอาณาจักรบางโรงเรียนอาจมีการเปิดสอนคอร์ส IB ควบคู่ไปกับ A Level เช่นกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนแต่ละแห่งค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้างโรงเรียนนานาชาติระบบ IB

หลักสูตร International Baccalaureate (IB) เป็นหลักสูตรคู่ขนานกับระบบอังกฤษ โดยคอร์สโปรแกรม IB diploma program จะใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปีเท่ากันกับ ‘A Level’ ของอังกฤษ และสามารถใช้ยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้เหมือนกัน โดยหลักสูตร IB จะมีการกำหนดให้นักเรียนต้องเรียน 6 วิชาในหลักสูตร โดยเป็น 3 วิชาในระดับมาตรฐาน และอีก 3 วิชาในระดับสูงกว่านอกจากนี้ นักเรียนยังต้องเรียนวิชา Theory of Knowledge (ToK) เพื่อเขียนเรียงความ (คล้ายทำวิจัย) และทำงานบริการชุมชนหรือ Community Service อีกด้วยค่ะ หลักสูตร IB เป็นหลักสูตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะว่าเป็นหลักสูตรที่เน้นการเรียนรู้นอกห้องเรียนอีกด้วยค่ะ

โรงเรียนนานาชาติระบบอเมริกา

โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกา จะมีการแบ่งระดับ Stage เป็น 3 ขั้นตอน โดยมี Elementary School (ES) หรือโรงเรียนประถมศึกษา, Middle School (MS) หรือ มัธยมต้น และ High School (HS) ซึ่งก็คือมัธยมปลายสำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษา จะเริ่มรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 4-11 ปี หรือที่เรียกกันว่าชั้น Kindergarten (KG) ถึง Grade 5 … ส่วน Middle School ของระบบอเมริกา ประกอบด้วยชั้น Grade 6-8 หรืออายุ 11-14 ปี และสุดท้าย เมื่อเรียนจบมัธยมต้นแล้ว ก็จะย้ายไปไฮสคูลหรือมัธยมปลาย ซึ่งก็คือ Grade 9-12 ที่เทียบเท่าได้กับอายุ 15-18 ปี โดยมีวิชาหลักของแต่ละระดับ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, ศิลปะ, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และ สังคมศึกษา นอกจากนี้ นักเรียนยังอาจได้สัมผัสกับการเรียน Performing Arts, ภาษาต่างประเทศ (ภาษาที่ 2), พลศึกษา และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม โรงเรียนระบบอเมริกาบางโรงเรียนเริ่มมีการขยายให้นักเรียนได้เริ่มเรียนคอร์ส AP (Advanced Placement) หรือ IB (International Baccalaureate) ด้วยเช่นกันค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้างระดับชั้น โรงเรียนนานาชาติ

โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ จะเรียกชั้นปีว่า ‘Year’ โดยมีตั้งแต่ Year 1 ถึง 13 ในขณะที่โรงเรียนนานาชาติระบบอเมริกาจะเรียกชั้นปีว่า ‘Grade’ โดยมีตั้งแต่ชั้น Kindergarten ก่อนที่จะขึ้นเป็น Grade 1 ถึง 12

Grade กับ Year ต่างกันตรงที่ : ชั้น ‘Kindergarten’ ของอเมริกา จะเทียบเท่าได้กับชั้น ‘Year 1’ ของระบบอังกฤษ โดยของระบบไทยอาจเทียบได้กับชั้นเรียนของเด็กอายุประมาณ 5-6 ปี หรือ อนุบาล 3 … โดยจะรันชั้นเรียนกันต่อไปเรื่อย ๆ โดยฝั่งอเมริกามีชั้น Kindergarten ถึง Grade 12 และของฝั่งอังกฤษเป็น Year 1 ถึง 13 ซึ่งเป็นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะว่าโดยปกติโรงเรียนอเมริกาและอังกฤษจะไม่มีการกำหนดให้เรียนชั้นเตรียมอนุบาลหรือเนอร์สเซอรี่ ทำให้โรงเรียนนานาชาติบางแห่งไม่มีชั้น KG1-KG3 ค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้างทั้งนี้ พ่อแม่บางคนอาจสังเกตได้ว่า โรงเรียนนานาชาติบางแห่งจะมีชั้น K1, K2, K3 แต่บางแห่งไม่มี ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับว่าโรงเรียนแต่ละแห่งเปิดรับนักเรียนเริ่มต้นที่อายุเท่าไรและจะเรียกระดับชั้นยังไง ซึ่งอาจเรียกไม่เหมือนกัน โดยชั้น K1’ ของบางโรงเรียน คือ ชั้น Nursery หรือ KG 1 (เทียบเท่า ชั้นอนุบาล 1 หรืออายุ 3-4 ปี ของระบบไทย)อย่างไรก็ตาม โรงเรียนนานาชาติอเมริกาบางแห่งที่เปิดรับชั้นเตรียมอนุบาลด้วย ก็อาจเรียกชื่อสายชั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งแทนที่จะเรียกว่า K1 หรือ KG1 ก็อาจจะเรียกว่าชั้น ‘Pre-K1’ แล้วต่อด้วย Pre-K2 ซึ่งเมื่อเรียนจบชั้นนี้แล้ว ก็จะเรียนต่อที่ชั้น Kindergarten (อนุบาล 3) และ Grade 1  (.1) เป็นต้นค่ะ

ในเรื่องของการเทียบตารางอายุและชั้นปี ทาง WeddingReview.net ขอแนะนำให้ผู้ปกครองเปิดเว็บไซต์โรงเรียนหน้า Age Guidelines เพื่อเปรียบเทียบชั้นปีและอายุ เพราะโรงเรียนแต่ละแห่งอาจเรียกชั้นปีไม่เหมือนกันและเริ่มรับนักเรียนที่อายุไม่เท่ากันค่ะ บางแห่งอาจรับตั้งแต่อายุ 18 เดือน แต่บางแห่งอาจเริ่มรับที่อายุ 4 ปี เป็นต้นค่ะนอกจากนี้ โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ จะมีการแบ่งภาคการศึกษาเป็น 3 เทอม ในขณะที่โรงเรียนระบบอเมริกามักมีการแบ่งออกเป็น 2 เทอม ซึ่งก็เป็นข้อมูลอีกสิ่งที่ผู้ปกครองควรทราบในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกและสมัครเรียนค่ะ

2. ดูแนวการสอนและแนวคิดของโรงเรียน

โดยปกติ คุณพ่อคุณแม่อาจพบว่าโรงเรียนนานาชาติแต่ละแห่งอาจมีสไตล์การสอนและปรัชญาการสอนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็ส่งผลมาจากการกำหนดค่านิยมและความเชื่อ (Values & Beliefs) ที่ไม่ตรงกันด้วยค่ะโรงเรียนนานาชาติบางแห่งอาจใช้วิธีและเทคนิคการสอนที่ไม่เหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่อาจเจอคำศัพท์ เช่น Play-based learning และ Approach การสอนแบบ Montessori, Reggio Emilia, Waldorf หรืออื่น ๆ รวมทั้งแนวทางการสอนเด็กให้แก้ปัญหาภายในโรงเรียนและวิธีเรียนรู้ด้าน Emotion Skills ที่แตกต่างกันไป

ในส่วนนี้ พ่อแม่อาจเช็กคร่าว ๆ ได้ส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน โดยเช็กวิสัยทัศน์และการดำเนินงาน ซึ่งหัวข้อนี้ จะทำให้พ่อแม่ทราบว่าโรงเรียนแต่ละแห่งมีความเชื่อเรื่องอะไร อยากดำเนินการแบบไหน และมีการสนับสนุนหัวข้อเหล่านี้ยังไงค่ะนอกจากนี้ ในการที่จะเช็กระดับความสำเร็จของโรงเรียนกับเป้าหมายที่โรงเรียนตั้งเอาไว้ ก็สามารถเช็กได้จากเรทการรักษาครูเก่าเอาไว้ได้ ครูไม่ลาออกบ่อย, เช็กจากระดับความสำเร็จของนักเรียนที่สูงขึ้น และโรงเรียนมีประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้น รวมทั้งอาจจะเช็กข้อมูล School Performance และสิ่งที่โรงเรียนโปรโมทได้จากบัญชี Social Media ของโรงเรียนประกอบกันไปด้วย

คุณพ่อคุณแม่อาจจะสงสัยว่า ทำไมโรงเรียนบางแห่งดูเหมือนจะไม่เน้นวิชาการ ไม่เน้นการท่องจำ แต่ทำไมผลการเรียนและอัตราความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของนักเรียนอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งก็ส่งผลมาจากแนวคิดและความเชื่อของโรงเรียน รวมทั้งการดำเนินงานออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง3. ดูสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย

คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยมั้ยคะ ว่านอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้วสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียนนานาชาติมีความสำคัญยังไงต่อนักเรียนและคุณครูอีกบ้าง? WeddingReview จะพามาดูค่ะ

สิ่งอำนวยความสะดวกหรือ Facility ในโรงเรียนนานาชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของนักเรียนและคุณครู สามารถส่งผลต่อกระบวนการการเรียนรู้โดยรวม ตลอดจนถึงการเติบโตทางร่างกายและจิตใจ ทั้งด้าน สุขภาพ, พฤติกรรม, การเรียนการสอน และการเติบโตของลูกค่ะ ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเลือกเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหมาะสมทั้งกับครูและนักเรียน เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ทั้งครูและนักเรียนสามารถทำผลงานได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความสุข

จะดีกว่ามั้ย ถ้าหากโรงเรียนมีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกครบพร้อม เหมาะสม เพียงพอ ปลอดภัย และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ? … อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า โรงเรียนที่ดี อาจไม่ใช่โรงเรียนที่มีตึกและอุปกรณ์สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้งานจริงได้ มีครูผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เหมาะสม การเรียนการสอนสอดคล้องและมีโยชน์กับโลกแห่งความจริง ทำให้โรงเรียนเป็นชุมชนที่เหมาะสมแก่การเรียนรู้และเป็นสังคมที่ดี มีบรรยากาศโดยรวมที่มีความสุขควบคู่กันไปด้วยค่ะ แล้วพ่อแม่มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรคะ?

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง4. ครูผู้สอน ครูใหญ่

โรงเรียนที่มี Value & Belief ชัดเจนและสามารถบริหารไปในแนวทางที่กำหนดได้อย่างสำเร็จ จะสามารถดึงคุณครูที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมเข้ามาร่วมงานด้วย และในขณะเดียวกันก็จะสามารถทำให้เรทครูเก่าคงอยู่ในโรงเรียนได้นานด้วย พ่อแม่อาจสังเกตได้จากการที่ครูไม่ลาออกบ่อย

พูดถึงคุณสมบัติบางประการของคุณครูผู้สอนที่ดีแล้ว นอกจากควรมีคุณวุฒิและประสบการณ์ที่เหมาะสมแล้ว ยังได้แก่ ทักษะในการสื่อสาร การฟัง การทำงานร่วมกัน การปรับตัว การเอาใจใส่ และความอดทน รวมทั้งลักษณะอื่น ๆ ที่สามารถส่งผลให้การสอนมีประสิทธิภาพ เช่น การมีส่วนร่วมในห้องเรียน, การใช้วิธีสอนที่สอดคล้องและมีประโยชน์กับโลกแห่งความเป็นจริง, การแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และ ความรักในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learner) ซึ่งก็จะช่วยทำให้นักเรียนบรรลุเป้าหมาย มีความสุขในการเรียน ช่วยให้เด็กบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล ซึ่งพ่อแม่อาจเห็นตัวการอย่างการเรียนการสอน ได้ในวันที่ไป School Visit เยี่ยมชมโรงเรียนนานาชาติ หรือวัน Open House และหารีวิว ฟังความรู้สึกของผู้ปกครอง รวมทั้งหาข้อมูล ฟังความรู้สึกของนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนจากคนรู้จักรอบตัว รวมทั้งเว็บไซต์และสื่อโซเชียลมีเดียของโรงเรียนค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง5. เช็กคุณภาพและการรับรองวิทยฐานะ (Accredition)

เพื่อที่จะเช็กว่าโรงเรียนนานาชาติที่คุณจะส่งลูกเรียนนั้นมีคุณภาพและมีมาตรฐาน พ่อแม่อาจเช็กจากการรับรองวิทยฐานะ หรือ Accredition ด้วยอีกแหล่งค่ะการที่โรงเรียนนานาชาติได้รับ Accredition ก็จะเป็นการรับรองและเพิ่มความมั่นใจให้คุณพ่อคุณแม่ได้ว่าโรงเรียนมีแนวปฏิบัติที่ดีมีประสิทธิภาพที่สูงตามมาตรฐานขององค์กรรับรองต่าง ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเช็กการรับรองต่าง ๆ ได้จากเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน รวมทั้งสามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ ISAT หรือ สมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทยอีกด้วยค่ะ ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติแต่ละระบบอาจได้รับการรับรองจากองค์กรที่แตกต่างกันไปค่ะ เช่น ในการเลือกโรงเรียนนานาชาติหลักสูตร IB ให้ลูก คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกโรงเรียนที่ได้รับการรับรอง อยู่ในรายชื่อ IB World School และมีคุณครูที่ได้รับการเทรนอย่างเหมาะสม เป็นต้นค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

6. กิจกรรมนอกหลักสูตร

กิจกรรมนอกหลักสูตร (Extracurricular Activity) ยิ่งมีให้เลือกเยอะก็ยิ่งดี เพราะว่า กิจกรรมนอกหลักสูตร คือ กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมหลักสูตรวิชาการ สามารถช่วยให้ลูกได้พัฒนาทักษะทางสังคม (Social Skills) หรือการทำงานเป็นทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน เช่น การเล่นกีฬา, ทำงานสโมสรนักเรียน, การทำงานช่วยเหลือสังคม (Community Service), งานอดิเรก, การรับจ้างทำงาน และ ชมรมต่าง ๆ

โรงเรียนนานาชาติแต่ละแห่งอาจจะมีกิจกรรมให้เลือกแตกต่างกันไปค่ะ เช่น ยิมนาสติก, ฟุตบอล, ทำอาหาร, เทนนิส, เทควันโด, เปียโนและดนตรี, ว่ายน้ำ, บาสเก็ตบอล และอื่น ๆ ซึ่งถ้าหากยิ่งมีให้เลือกเยอะ และครูผู้ดูแลที่เชี่ยวชาญด้วย ก็จะมีส่วนช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ในทิศทางนั้น ๆ ได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้นค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง7. ระยะทาง

การเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีระยะทางห่างจากบ้านอย่างเหมาะสม มีความสำคัญพอ ๆ กับการเลือกโรงเรียนที่ลูกไปเรียนแล้วมีความสุขเลยค่ะ การได้ตื่นนอนไปเรียนในโรงเรียนที่เอาใจใส่ ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนั้น เมื่อเด็กมีความสุขก็จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งก็รวมถึงการเรียนด้วย

พ่อแม่บางคนอาจพบว่า โรงเรียนที่ลูกชอบและเหมาะสมกับลูก อาจจะอยู่ไกลบ้าน ซึ่งก็ควรดูว่าพ่อแม่มีความพร้อมที่จะขับรถไปรับส่งหรือไม่? หรือลูกจะมีความสุขมั้ยที่จะต้องนั่งรถรับส่งของโรงเรียน สิ่งนี้ได้ทำให้พ่อแม่บางคนอาจพิจารณาเรื่องการเช่าบ้านหรือย้าย หรือซื้อบ้านใหม่ใกล้ ๆ โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งมักจะมีโครงการหมู่บ้านจัดสรรอยู่ติดกันใกล้ ๆ แต่นอกจากนี้ ก็มีพ่อแม่บางท่านที่เมื่อเจอปัญหาว่าหาโรงเรียนที่ชอบใกล้บ้านไม่ได้ ก็ตัดสินใจที่จะทำโฮมสคูล ให้ลูกเรียนโฮมสคูลช่วงอนุบาลไปเลยก็มีค่ะ พ่อแม่บางคนพาลูกไปทดสอบก่อนทำโฮมสคูลเพื่อดูว่าลูกเหมาะกับหลักสูตรโฮมสคูลแบบไหน ซึ่งก็มีทั้ง หลักสูตร Waldorf และอีกมากมายค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง8.บรรยากาศโดยรวมใกล้โรงเรียน

ทีนี้ มาถึงข้อสุดท้ายในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก คุณพ่อคุณแม่อาจจะพิจารณาเรื่องบรรยากาศโดยรวมรอบโรงเรียนควบคู่กันไปด้วยค่ะ โดยดูชุมชนใกล้ ๆ โรงเรียนว่าเป็นยังไง มีทุกอย่างครบเพียงพอที่คุณอาจจะต้องการในแต่ละวันมั้ย เนื่องด้วยคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจรอรับลูกแถวโรงเรียน บางท่านเป็นแม่บ้าน ขับรถรับส่งลูกไปโรงเรียนอย่างเดียว ทีนี้เมื่อส่งลูกเสร็จแล้วคุณจะไปที่ไหนต่อ? ใกล้โรงเรียนบางแห่งอาจมีร้านคาเฟ่หรือร้านกาแฟที่ทำให้คุณแม่สามารถนั่งรอทั้งวันได้ หรือโรงเรียนบางแห่งอาจไม่ได้มีที่จอดรถหรือร้านอาหารที่เหมาะสมกับการนั่งรอทั้งวัน ทำให้พ่อแม่บางคนต้องขับรถไปเดินห้างรอแทน และอาจพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมใกล้โรงเรียนโดยรวม ทั้งเรื่องรถติด, ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ, บรรยากาศการเดินทาง ชุมชนและผู้คนรอบ ๆ แถวนั้น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พ่อแม่อาจนำไปพิจารณาเพราะจะเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องเผชิญไปอีกยาวจนกว่าลูกจะเรียนจบค่ะ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ต้องดูอะไรบ้างเป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับ สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ที่ WeddingReview.net นำมาฝาก โรงเรียนที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่โรงเรียนที่มีตึกสวย แต่อาจเป็นโรงเรียนที่มีบรรยากาศโดยรวมสนับสนุนให้เด็กบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ ทั้งด้านวิชาการและด้านอื่น ๆ และจะดีกว่าด้วยถ้าหากสามารถฝึกให้เด็กเตรียมพร้อมรับมือกับโลกในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้าที่แม้แต่พ่อกับแม่ก็อาจจะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น โดยพ่อแม่ทุกคนก็มักจะมีความหวังให้ลูกรับมือกับอนาคตได้ แล้วเราจะทำยังไงดีละ ส่งลูกเรียนโรงเรียนแบบไหนดีนะที่จะทำให้ลูกเตรียมพร้อมได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถศึกษาหาข้อมูลเตรียมตัวได้ตั้งแต่วันนี้ค่ะ

คุณอาจสนใจ

Report

What do you think?

0 Points
Upvote
พิธีหมั้น (หมั้นอย่างเดียว จัดยังไง)

พิธีหมั้น (หมั้นอย่างเดียว จัดยังไง)

ขันหมาก 19 คู่ มีอะไรบ้าง?

ขันหมาก 19 คู่ มีอะไรบ้าง?